สิ่งที่ได้จาก blog

ข้าพเจ้านางสาวสุนิศา เมืองสุวรรณ์

จากที่ข้าพเจ้าได้เรียนเขียน blog เป็นเวลา 1 ภาคการเรียน ข้าพเจ้าได้ความรู้ขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเนื้อหาที่ใส่ใน blog และยังมีในส่วนของการทำ blog ด้วย ทั้งนี้ดิฉันขอขอบคุณ
อาจารย์ Wilaichitra เป็นอย่างสูง ที่ให้มี blog เป็นของตัวเอง

ขอให้เพื่อนมีความสุขและได้ความรู้เยอะๆๆจากการอ่าน blog ของดิฉัน

หน้าที่ของคำ

ชนิดของคำ

คำนาม (Noun) หมายถึง คำที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ มี 2 ประเภท คือ

A. Countable Noun คือ นามที่นับนับได้ ได้แก่ นามที่มีรูปร่าง นับเป็นชิ้นได้ จะใช้ a , an นำหน้าเมื่อไม่ชี้เฉพาะเจาะจง และสามารถทำเป็นพหูพจน์ได้ คือ อาจเติมคำ two, three, four, etc. ลงหน้าคำนามนั้นได้ เช่น two tables, three pencils
B. Uncountable Nouns คือ นามที่นับจำนวนไม่ได้ มีรูปเป็นเอกพจน์เสมอ ไม่มี article นำหน้า แต่จะใช้ the นำเมื่อชี้เฉพาะเจาะจง

กริยา (verb) คือคำหรือกลุ่มคำที่แสดงอาการหรือการกระทำของนาม สรรพนาม หรือประธานของประโยค แบ่งได้ 4 ชนิดคือ
1.Transitive verbs เป็นกริยาที่ต้องการกรรมมารองรับข้างท้าย หากขาดกรรมรองรับ ความสมบูรณ์ขาดหายไป
2.Intransitive verbs เป็นกริยาที่ให้ความสมบูรณ์อยู่แล้วไม่จำเป็นต้องมีกรรมรองรับข้างท้าย
3. Linking verbs เป็นกริยาใช้เชื่อมประธานของประโยคเข้ากับตัวขยายซึ่งอาจจะเป็นนามหรือคุณศัพท์ก็ได้ เพื่อแสดงสภาพอะไรสักอย่าง (a state of being) ได้แก่ be, seem, appear, look, become, get, turn, taste, feel, remain, sound, grow
4. Helping verbsเป็นกริยาช่วย ที่นำมาใช้ร่วมกับกริยาแท้ ได้แก่ be, have, has, had, can, could, will, would, may, might, must, do, does, did, ought to

Adjective คือ คำคุณศัพท์ ทำหน้าที่ขยายคำนาม มีดังนิ้
1. Descriptive Adjective บอกลักษณะคุณภาพของคน สัตว์และสิ่งของเช่น
young, rich, new, god, black, clever, happy
2.Possessive Adjective แสดงความเป็นเจ้าของเช่น my, your, his, her, their, our, its
3.Quantitativt Adjective บอกปริมาณมาก้อยของนามที่นับไม่ได้ เช่น some, half, little, enough
4.Numeral Adjective แสดงจำนวนมากน้อย ของนามที่นับได้หรือแสดงลำดับก่อน- หลังของคำนามเช่น one , two, first, many
5. Demonstrative Adjective คุณศัพท์ที่ชี้เฉพาะคำนาม เช่น this, that, these, those
6. Interrogative Adjective คือคำคุณศัพท์ที่แสดงคำถาม เช่น which, whose, what เป็นต้น จะวางอยู่หน้าประโยคคำถาม ตัวอย่างเช่น
- Which way shall we go ?
- Whose dictionary is this ?
7. Proper Adjective คือคำคุณศัพท์ที่มาจากคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ เช่น ชื่อประเทศ ทำหน้าที่ ขยายคำนามซึ่งมีความหมายว่า “เป็นของ หรือจากประเทศนั้นๆ ตัวอย่างเช่น Which way shall we go?
8. Distributive Adjective แสดงการแบ่งแยกหรือจำแนก เช่น each, every, either, neither

Pronoun ( คำสรรพนาม ) คือคำที่ใช้แทนคำนามหรือคำเสมอนาม ( nouns- equivalent ) เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงซ้ำซาก หรือแทนสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วระหว่างผู้พูด ผู้ฟัง หรือแทนสิ่งของที่ยังไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร คำสรรพนาม (pronouns ) แยกออกเป็น 7 ชนิด คือ
Personal Pronoun ( บุรุษสรรพนาม ) เช่น I, you, we, he , she ,it, they
Possessive Pronoun ( สรรพนามเจ้าของ ) เช่น mine, yours, his, hers, its,theirs, ours
Reflexive Pronouns ( สรรพนามตนเอง ) เป็นคำที่มี - self ลงท้าย เช่น myself, yourself,ourselves
Definite Pronoun ( หรือ Demonstrative Pronouns สรรพนามเจาะจง ) เช่น this, that, these, those, one, such, the same
Indefinite Pronoun ( สรรพนามไม่เจาะจง ) เช่น all, some, any, somebody, something, someone
Interrogative Pronoun ( สรรพนามคำถาม ) เช่น Who, Which, What
Relative pronoun ( สรรพนามเชื่อมความ ) เช่น who, which, that

Adverb คือ คำที่ใช้ทำหน้าที่ขยายกริยา ขยายคุณศัพท์ หรือขยาย Adverb ด้วยกันเองก็ได้ จะขอ
ยกตัวอย่างพอสังเขปให้ดูต่อไปนี้
ขยายกิรยาเรียงไว้หลังกริยา
The old woman walks slowly. หญิงชราคนนั้นเดินอย่างช้าๆ
(slowly เป็น Adverb เรียงไว้หลังหริยา walks)
ขยายคุณศัพท์เรียงไว้หน้าคุณศัพท์
Saensak is very strong. แสนศักดิ์เป็นคนแข็งแรงมาก
(very เป็น Adverb เรียงไว้หน้าคุณศัพท์ strong)
ขยายกิรยาวิเศษณ์เรียงไว้หน้ากริยาวิเศษณ์
The train runs very fast. รถไฟวิ่งเร็วมาก
(very เป็น Adverb จึงเรียงไว้หน้า Adverb "fast")

กริยา 3 ช่อง

กริยาอปรกติ หรือกริยาอปกติ (Irregular Verbs)

คือ กริยาที่ผู้เรียนต้องศึกษาจดจำเป็นพิเศษ เพราะมีการเปลี่ยนรูปร่างต่างกันไป โดยไม่ได้เติม –ed ต่อท้ายเหมือน กริยาปรกติ (Regular Verbs) ส่วนมากเรียก กริยาอปกติ ว่า กริยา 3 ช่อง
Infinitive (Present), Past Simple ,Past Participle, ความหมาย
be(is,am,are) was,were been เป็น,อยู่,คือ
bear bore born ถือ,เกิด
become became become กลายเป็น
begin began begun เริ่มต้น
bend bent bent โค้ง งอ
bet bet bet พนัน
bite bit bitten (or bit) กัด ขบ ฉีก

bleed bled bled เลือดออก
blow blew blown พัด เป่า ตี
bring brought brought นำมา เอามา
build built built สร้าง ก่อสร้าง
burst burst burst ระเบิด
buy bought bought ซื้อ
cast cast cast ขว้าง
catch caught caught จับ ได้รับ
choose chose chosen เลือก
cling clung clung เกาะ เอาเป็นที่พึ่ง
come came come มา
cost cost cost ราคา
dig dug dug ขุด
dive dived (or dove) dived ดำนํ้า
do did done ทำ
draw drew drawn ลาก วาด เขียน
drink drank drunk ดื่ม
drive drove driven ขับ(รถ)
eat ate eaten กิน
fall fell fallen ตก หล่น
fight fought fought ต่อสู้

fling flung flung โยน พุ่ง เหวี่ยง
fly flew flown บิน
forbid forbade forbidden ห้าม ไม่อนุญาต
forget forgot forgotten ลืม
freeze froze frozen เย็นจนแข็ง หนาว
get got got (or gotten) เอา ได้รับ
give gave given ให้
go went gone ไป
grind ground ground บด ลับ
grow grew grown เติบโตขึ้น
hang (people) hanged hanged แขวนคอ
hang (pictures) hung hung แขวน ห้อย
have had had มี
hide hid hidden ซ่อน
hurt hurt hurt ทำร้าย ทำอันตราย
know knew known รู้
lay laid laid วาง ออกไข่
lead led led นำ พา
leave left left ละทิ้ง จากไป
lend lent lent ให้ยืม
lie lay lain นอน
light lit lit จุดไฟ
make made made ทำ
mistake mistook mistaken ทำผิด
pay paid paid จ่าย ชำระ ใช้ให้
quit quitted (or quit) quit หยุด ยุติ เลิก
ride rode ridden ขี่ ขับ
ring rang rung สั่นกระดิ่ง ดัง
rise rose risen ขึ้น ลุกขึ้น
run ran run วิ่ง
saw sawed sawn เลื่อย
say said said พูด
see saw seen เห็น
seek sought sought ค้นหา
sell sold sold ขาย
set set set ตั้ง วาง จัด
shake shook shaken เขย่า สั่น
shine shone shone ส่องแสง
shrink shrank shrunk หดลง สั้นลง
sing sang sung ร้องเพลง
sink sank sunk จม ถอยลง
slide slid slid สื่นไถล เลื่อนไป
speak spoke spoken พูด
spin spun spun ม้วน กรอ ปั่นฝ้าย
split split split แตก แยก
spring sprang sprung โดดอย่างเร็ว เด้ง
sting stung stung ต่อย แทง
stink stank stunk ส่งกลิ่นเหม็น
strike struck struck ตี ต่อย กระทบ
string strung strung ผูกเชือก ขึงสาย
strive strove striven พยายาม ขันสู้
swear swore sworn สาบาน ปฏิญาณ
swell swelled swollen โตขึ้น หนาขึ้น
swim swam swum ว่ายนํ้า
swing swung swung แกว่ง เหวี่ยง
take took taken เอา จับหยิบ
teach taught taught สอน
tear tore torn ฉีก ขาด
think thought thought คิด
throw threw thrown เหวี่ยง ขว้าง
wake woke waken ตื่น ปลุก
wear wore worn สวม ใส่
weave wove woven ทอผ้า สาน
weep wept wept ร้องไห้
wring wrung wrung บีบ คั้น
write wrote written เขียน

คำศัพท์(Unit 24)

installed ติดตั้ง
arcades บริเวณ
trends แนวโน้ม
alter เปลี่ยน
able สามารถ
brain สมอง
imitate เลียนแบบ
three dimensional screen แฟ็ก 3 มิติ
computer touch screens วงจรสัมผัส
wristwatch นาฬิกาข้อมือ
own ของตัวเอง
robot หุ่นยนต์
artificial ประดิษฐ์ขึ้นมา
intelligence อัจฉริยะ
lung ปอดเทียม

คำศัพท์(Unit 23)

chip วงจรรวม
lite ชีวิต
unconscious ไม่มีสติ
incoherent ไม่ต่อเนื่อง
ambulances รถพยาบาล
medical เกี่ยวกับการรักษา
distraught จิตว้าวุ่น
themselves พวกเขา
suddenly เกิดอย่างฉับพลัน
robotice มนุษย์หุ่นยนต์
mechanical เกี่ยวกับเครื่องจักรกล
fabricate คิด,สร้าง
obvious ชัดเจน
difficult ยาก
virtual reality สภาวะจริง
practical เกี่ยวกับการปฏิบัติ
remote ไกล
consumer ผู้บริโภค
aircraft เครื่องบิน
pilot นักบิน
patients หัวหน้าครอบครัว,บรรพบุรุษ
establish ก่อตั้ง

การใช้ would(ประโยคเงื่อนไข)

ลองศึกษาโครงสร้างของประโยคคำถามเหล่านี้นะคะ

1. What would you do if you lost your money?
2. What would you do if you won the first prize lottery?
3. What would you do if Ricky Martin said he loved you?
4. What would you do if it snowed?
5. What would you do if it rained very hard?
6. What would you do if someone gave you a BMW car?
7. What would you do if you slipped and fell down in front of a handsome man?
8. What would you do if you couldn't find your wallet after your meal in the restaurant?
9. What would you do if you saw a man take a book without paying in the shop?
10. What would you do if you found a fly in your noodle bowl?
11. What would you do if you had to get up early?
12. What would you do if next week was a holiday?
13. What would you do if you had a jeep?

( Structure : subj. + would + v1 , if + subj. + v2 ) สมมุติเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
ลองศึกษาประโยคคำตอบข้างล่างนี้ แล้วจับคู่กับประโยคคำถาม ดูนะคะ

1. I'd ask my mother to call me.
2. I'd go to Dream World in Bangkok.
3. I'd take you to Chamoa Mountain.
4. I'd ask my mother for more.
5. I'd travel around the world.
6. I'd be happy to be the luckiest girl in the world.
7. I'd run out to touch it.
8. I'd put my umbrella.
9. I'd refuse to take it because I had no money to buy petrol.
10. I'd smile sweetly at him.
11. I'd phone my mother.
12. I'd tell the salesgirl.
13. I'd tell the waiter to give me a new one.

เมื่อจับคู่ประโยคคำถาม - คำตอบได้แล้ว ก็ลองนำไปฝึกใช้บ้างนะคะ แล้วก็ลองนำไปสร้างประโยคของตัวเองด้วย จะช่วยให้จดจำประโยคได้ดีขึ้น

การใช้ will

Verb Tenses (Future Tenses )

ในบทนี้จะได้กล่าวถึงการใช้ Future tenses ทั้ง 4 รูปคือ Simple Future ,Future progressive,Future perfect,และ Future perfect progressive.

1. Simple Future
โครงสร้าง

Subject + auxiliary verb ( will ) + main verb ( base form)
ประธาน + กริยาช่วย ( will ) + กริยาหลักช่อง 1


การใช้

ใช้กับการกระทำหรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะมีคำบอกเวลาอนาคตกำกับอยู่ด้วย
They will finish the work tomorrow.
He will arrive next Saturday.
Where will you be this time next year.
I'll be in London tomorrow.
Will you be at work tomorrow?

ใช้ในการพูดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ไม่มีแผนที่จะพูดมาก่อน
Hold on. I'll get a pen.
We will see what we can do to help you.
Maybe we'll stay in and watch television tonight.

มักจะใช้ simple future tense กับคำกริยา to think
I think I'll go to the gym tomorrow.
I think I will have a holiday next year.
I don't think I'll buy that car.

ใช้ในการพูดทำนองทำนายการเกิดเหตุการณ์อนาคต
It will rain tomorrow.
People won't go to Jupiter before the 22nd century.
Who do you think will get the job?
The movie "Troy " will win several Academy Awards.
It will rain tomorrow.

ใช้กับสถานการณ์แสดงการสมัครใจ เสนอตัวทำ
Will someone open the window for me?"
"I'll do it!"
I'm really hungry. I'll make some sandwiches.
I'm so tired. I'm about to fall asleep. I'll get you some coffee.

การใช้ Will และ Shall
ถ้าต้องการแสดงอนาคต ใช้ will กับประธานทุกคำ
ถ้าต้องการแสดงความตั้งใจ ใช้ shall กับประธานทุกคำ เช่น
I will come to the party.
I shall be disappointed

ประโยคที่มีความหมายเป็นอนาคต อาจไม่จำเป็นต้องใช้ will หรือ shall แต่ใช้รูปอื่นแทนได้ เช่นWe'll fly tomorrow.
ใช้รูป : Present Simple เช่น We fly tomorrow.
ใช้รูป : Present Progressive เช่น We are flying tomorrow.ใ
ช้รูป : going to เช่น We are going to fly tomorrow.
ใช้รูป : is to , are to เช่น The Prime Minister is to visit Japan.

2. Future Progressive ( continuous )
โครงสร้าง

Subject + auxiliary verb ( will ) + auxiliary verb ( be ) + main verb ( present participle )
ประธาน + กริยาช่วย ( will ) + กริยาช่วย ( be )+ กริยาหลัก+ ing

การใช้

ใช้เมื่อต้องการจะบอกว่า ณ เวลาหนึ่งในอนาคต จะมีเหตุการณ์อย่างหนึ่งกำลังดำเนินอยู่ ในประโยคจะมีคำบอกเวลา ณ จุดหนึ่งในอนาคตกำกับอยู่ด้วยเสมอ เป็นการใช้เพื่อเน้นการกระทำ ทีกำลังดำเนินในอนาคต
I will be playing tennis at 10am tomorrow.
He will be studying at the US next year.
At midnight tonight, we will still be driving through the desert

ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ในอนาคตซึ่งเกิดไม่พร้อมกัน
We 'll be having dinner when the film starts.
Take your umbrella. It will be raining when you return.
When your plane arrives tonight, I will be waiting for you.

3.Future Perfect
โครงสร้าง

Subject + auxiliary verb ( will ) + auxiliary verb ( have ) + main verb ( past participle )
ประธาน + กริยาช่วย ( will ) + กริยาช่วย ( have )+ กริยาหลักช่อง 3

การใช้

ใช้เมื่อต้องการบอกว่า เมื่อถึงเวลาหนึ่งในอนาคต เหตุการณ์อย่างหนึ่งจะจบสิ้นลง
By next November, I will have received my promotion
The train will have left when you arrive.
You can call me at work at 08:15 am. I will have arrived at the office by 08:00.
All these roses will have died before Christmas.
They will have finished the work by next week.

4. Future Perfect Progressive
โครงสร้าง

Subject + auxiliary verb ( will ) + auxiliary verb ( have ) + auxiliary verb ( been ) + main verb ( present participle)
ประธาน + กริยาช่วย ( will ) + กริยาช่วย ( have )+ กริยาช่วย ( been )+ กริยาหลัก+ing

การใช้

ใช้เมื่อต้องการจะบอกว่า เมื่อถึงเวลาหนึ่งในอนาคต เหตุการณ์อย่างหนึ่งซึ่งดำเนินมาก่อนหน้านั้นก็ยังคงดำเนินอยู่ และจะดำเนินต่อไปอีก
I will have been working here for ten years next week.
He will be tired when he arrives. He will have been traveling for 24 hours.
They will have been talking for over an hour by the time I arrive.
Do you realize that by the time we arrive in Had Yai, we will have been driving for twenty straight hours.

เปรียบเทียบการใช้ Future Perfect Progressive กับ Future Perfect
Future Perfect Progressive :
In December I will have been writing this book for seven monthsเมื่อถึงเดือนธันวาคม ฉันก็จะเขียนหนังสือนี้มาได้เจ็ดเดือน ( และจะเขียนต่อไป )
Future Perfect :
I will finish this book in January next year, when I will have written this book for eight months. ประโยคนี้แสดงว่าเมื่อถึงเดือนมกราคม การเขียนจะเสร็จสิ้น ไม่มีการเขียนอีกต่อไป

ความต่างของ Will กับ Would

ความแตกต่างของ Will กับ Would

I'll help you pack when you're ready to go. (I'll help. I promise to help. I have the firm intention of helping. No particular preconditions need to be fulfilled.)
ฉันจะช่วยให้คุณแพ็คของเมื่อคุณพร้อมที่จะไป
(เหตุการณ์นี้เงื่อนไขไม่แน่นอนเสมอไปเพราะอาจจะช่วยแพ็คของแม้ยังไม่พร้อม)

I would help you pack if you paid me $100. (I don't help except when the condition of payment is met. No true promise is made.)
ฉันจะแพ็คของให้คุณถ้าคุณชำระเงินให้ฉัน $ 100
(เหตุการณ์นี้เป็นเงื่อนไขที่ชัดเจนตายตัวถ้าไม่ชำระเงินก็จะไม่มีการแพ็คของให้)

คำศัพท์การสมัครวาน

คำศัพท์
advertise การลงโฆษณา
vacancy ตำแหน่งว่าง
classified โฆษณาย่อย
apply สมัครงาน
applition การสมัครงาน
salary เงินเดือน
recruit การรับพนักงานใหม่
interview สัมภาษณ์
resume ประวัติส่วนตัว

Programming Languages

ภาษาที่ใช้ในการเขียนและพัฒนาโปรแกรมในปัจจุบันมีตัวหลักๆ ดังนี้

กลุ่ม Procedural languages - BASIC - C - COBOL - FORTRAN - PASCAL

กลุ่ม Object-oriented languages - Smalltalk - AVA - C++ - Python -

กลุ่ม Visual programming - Visual Basic - Visual FoxPro - Visual C++

กลุ่ม Internet Programming - HTML - XML - VRML - Java - ActiveX
----------------------------------------------------------------------------------------

คำศัพท์สำหรับ computer

คำศัพท์
attempt (อะเทมพฺทฺ') Vt. พยายาม
client (ไคลเอ็นท์) n. คือ เครื่องลูกข่าย
spreadsheet (สเพรดชีท) n. คือ โปรแกรมที่ใช้ในการคำนวณ ใช้ในการประมวลผลโดยซอฟท์แวร์ชนิดนี้ใช้ได้ทั้งข้อมูลที่เป็นตัวเลข และตัวอักษร
error (ซิส'เทิม เออร์'เรอะ) n. เป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในระบบ อาจมีหลายสาเหตุ เช่น ความเสียหายของไฟล์ที่เกิดจากไฟดับ
syntax error (ซิน'แทคซฺ เออร์'เรอะ) n. คือ การเขียนคำสั่งไม่ถูกต้องตามหลักการเขียนไวยากรณ์ของโปรแกรมของภาษานั้น ๆ หากพบข้อผิดพลาดโปรแกรมจะไม่สามารถทำงานได้ เพราะไม่สามารถแปลงคำสั่งได้
logic error (ลอจ'จิค เออร์'เรอะ) n. เป็นข้อผิดพลาดทางตรรกะ โปรแกรมสามารถทำงานได้้แต่ผลลัพธ์อาจไม่ถูกต้อง ตามความต้องการ ซึ่งข้อผิดพลาดรูปแบบนี้ไม่สามารถตรวจพบจากการแปลงโปรแกรมดังนัั้นผู้้พัฒนาโปรแกรมต้้องใส่ใ่ใจกับการเขียนผังงาน
compatibility (คัมพาทธิบิลลิธิ่) n. ความสามารถในการทำงานของอุปกรณ์หรือโปรแกรมที่สามารถเทียบแทนกันได้
element (เอลอิเม็น) n. ธาตุ,องค์ประกอบ
field (ฟีลด) n. การเก็บข้อมูลลงฐานข้อมูลโดยแบ่งแยกเป็นส่วนๆที่เรียกว่าฟิลด์
optimize (ออพติไมซ) v. ใช้ให้เหมาะสม
(โอเวอรอล) n. ทั้ง
performance (เพอะฟอแม็นซ) n. สมรรถนะ
plug and play (พลักแอนเพลย) n. การต่ออุปกรณ์เข้าในคอมพิวเตอร์ได้โดยระบบรับรู้และใช้งานได้อย่างอัตโนมัติ
beta software (เบเดอซอฟทแว) n. โปรแกรมใช้งานรุนทดลองเป็นรุ่นที่ 2 ต่อจากรุ่นอัลฟา
(บายไดเร็คชั่นนอล) n. การรับส่งสัญญาณที่มีลักษณะรับและส่งได้ในเวลาเดียวกัน
bluetooth (บลูทูธ) n. เป็นข้อกำหนดสำหรับอุตสาหกรรมเครือข่ายแบบไร้สายระยะใกล้
cache (แคช) n. หน่วยความจำพิเศษสำหรับเก็บคำสั่งและข้อมูลคอมพิวเตอร์
(คาทริจ) n. ปลอกห่อหุ้ม
conficuration (คอนฟิกคูเรชั่น) v. กำหนดค่าการติดตั้ง
damage (แดมอิจ) n. ความเสียหาย
debug (ดิบัค) n. ตัวค้นหาความผิดพลาดของโปรแกรมคอมพิวเตอร์
detect (ดิเท้คท) v. ตรวจหา
disadvantage (ดิแซ็ดฝานทิจ) n. ข้อเสีย
flowchart (โฟลวชารท) n. ผังการทำงานของโปรแกรมคอมพิวเตอร์

homework

HomeWork Unit14 Task 7-9
Task 7
1) Finding with the latest news on your favorite team is easy on the Web.
2) One of the most useful features of the Internet is sending and receiving email.
3) The grandfather, father, son, method is one way of keep upping your documents.
4) Fiber-optic cable can be used for linking computers in a network.
) Search engines are ways of finding information on the Web.
6) Using a keyboard is the commonest way of entering data into a computer.
7) Sending audio and video attachment is possible with email.
8) Becoming a programmer means learning a number of programming languages.
9) The White Pages are for back upping email addresses.
10) Selecting an option in a menu is easy with a mouse.
Task 8
1.) How do you find a website? By using the search engine.
2.) How do you select an option on a menu? By pressing a mouse.
3.) How do you move rapidly through a document? By pressing the Page up and Page down key. 4.) How do you return to your starting page on the web? By pressing a Home key.
5.) How do you store favourites sites? By using a favorite menu.
6.) How do you share ideas with other Internet users on a subject you’re interested in? By using www.blogger.com.
7.) How do you increase the speed of your computer? By updating the program Windows.
8.) How do you send voice and text messages to other Internet users? By using email.
9.) How do you end a search on the Web? By using close program Internet Explorer.
10.) How do you move the cursor round the screen? By using a mouse.
Task 9
1) the latest scientific developments h) http://www.newscientist.com/
2) caring for your cat f) http://www.petcat.co.uk/
3) calculating your tax g) http://www.moneyworld.co.uk/
4) new cars d) http://www.carlounge.com/
5) advertising on the Web a) http://www.admarket.com/
6) books on sport i) http://www.thebookplace.com/
7) sending a virtual greetings cards c) http://www.buildacard.com/
8) economic data on Bulgaria j) http://www.worldbank.org/
9) your horoscope b) www.bubble.com/webstars/
10) ski condition in Europe e) www.encenter.com/ski/

Contrast คือค่าความเข้มของภาพ

Contrast is the dissimilarity or difference between things:

From Wikipedia, the free encyclopedia


Contrast (linguistics), expressing distinctions between words
In linguistics and semantics contrast is a relationship between two discourse segments. Contrast is often overtly marked by contrastive markers like but or however, such as in the following examples:
1.It's raining, but I am taking an umbrella.
2.We will be giving a party for our new students. We won't, however, be serving drinks.
In (1) the first clause, It's raining implies that the speaker will get wet, while the second clause I am taking an umbrella implies that the speaker will not get wet. Both clauses (or discourse segments) refer to related situations, or themes, yet imply a contradiction. It is this relationship of comparing something similar, yet different, that is believed to be typical of contrastive relations. The same type of relationship is shown in (2), where the first sentence can be interpreted as implying that by giving a party for the new students, the hosts will serve drinks. This is of course a defeasible inference based on world knowledge, that is then contradicted in the following sentence.
The majority of the work on contrast and contrastive relations in semantics has concentrated on characterizing exactly what semantic relationships can give rise to contrast. Much early work in semantics also concentrated on identifying what distinguished clauses joined by and from clauses joined by but.
In discourse theory, and computational discourse, contrast is a major discourse relation, on par with relationship like explanation or narration, and work has concentrated on trying to identify contrast in naturally produced texts, especially in cases where the contrast is not explicitly marked.

Contrast (vision), the difference in color and light between parts of an image.
Contrast is the difference in visual properties that makes an object (or its representation in an image) distinguishable from other objects and the background. In visual perception of the real world, contrast is determined by the difference in the color and brightness of the object and other objects within the same field of view. Because the human visual system is more sensitive to contrast than absolute luminance, we can perceive the world similarly regardless of the huge changes in illumination over the day or from place to place.
The human contrast sensitivity function shows a typical band-pass shape peaking at around 4 cycles per degree with sensitivity dropping off either side of the peak.[1] This tells us that the human visual system is able to detect gratings of 4 cycles per degree at a lower contrast than at any other spatial frequency.
The high-frequency cut-off represents the optical limitations of the visual system's ability to resolve detail and is typically about 60 cycles per degree. The high-frequency cut-off is related to the packing density of the retinal photoreceptor cells: a finer matrix can resolve finer gratings.
The low frequency drop-off is due to lateral inhibition within the retinal ganglion cells. A typical retinal ganglion cell presents a centre region with either excitation or inhibition and a surround region with the opposite sign. By using coarse gratings, the bright bands fall on the inhibitory as well as the excitatory region of the ganglion cell resulting in lateral inhibition and account for the low-frequency drop-off of the human contrast sensitivity function.
One experimental phenomenon is the inhibition of blue in the periphery if blue light is displayed against white, leading to a yellow surrounding. The yellow is derived from the inhibition of blue on the surroundings by the center. Since white minus blue is red and green, this mixes to become yellow.[2]
For example, in the case of graphical computer displays, contrast depends on the properties of the picture source or file and the properties of the computer display, including its variable settings. For some screens the angle between the screen surface and the observer's line of sight is also important.
Contrast is also the difference between the color or shading of the printed material on a document and the background on which it is printed, for example in optical character recognition.

Contrast (statistics)
Jump to: navigation, search
In statistics, particularly analysis of variance, a contrast is a linear combination of two or more factor level means (averages) whose coefficients add up to zero.[1][2] A simple contrast is the difference between two means.
Contrasts are sometimes used to compare a mixed effect. A common example can be the difference between two test scores — one at the beginning of the semester and one at its end. Note that we are not interested in one of these scores by itself, but only in the contrast (in this case — the difference). Since this is a linear combination of independent variables, its variance will match accordingly, as the sum of the variances. This "blending" of two variables into one might be useful in many cases such as ANOVA, regression, or even as descriptive statistics in its own right.
Another example would be comparing 5 standard treatments to a new treatment, hence giving each old treatment a weight of 1/5, and the new sixth treatment a weight of −1. If this new linear combination has a mean zero, this will mean that the old treatments are not different from the new on average.
The usual results for linear combinations of independent random variables mean that the variance of a contrast is equal to the weighted the sum of the variances.[1] If two contrasts are orthogonal, estimates created by using such contrasts will be uncorrelated. This has implications in ANOVA and regression where in certain designed experiments the design is such as to ensure that estimates for a number of different parameters will be uncorrelated.

Contrast medium used to distinguish structures or fluids within a body, often shortened to just "contrast"
A medical contrast medium is a substance used to enhance the contrast of structures or fluids within the body in medical imaging. It is commonly used to enhance the visibility of blood vessels and the gastrointestinal tract.
Contents[hide]
1 Types
1.1 X-ray attenuation
1.1.1 Iodine
1.1.2 Barium
1.2 MR signal enhancing
1.3 Ultrasonography
2 Adverse effects
2.1 Allergy Reactions
2.2 Toxicity
2.3 Drug Interactions
3 See also
4 References

Contrast ratio, a measure of a display system
The contrast ratio is a measure of a display system, defined as the ratio of the luminance of the brightest color (white) to that of the darkest color (black) that the system is capable of producing. A high contrast ratio is a desired aspect of any display, but with the various methods of measurement for a system or its part, remarkably different measured values can sometimes produce similar results.
Contrast ratio ratings provided by different manufacturers of display devices are not necessarily comparable to each other due to differences in method of measurement, operation, and unstated variables.[1] Manufacturers have traditionally favored measurement methods that isolate the device from the system, whereas other designers have more often taken the effect of the room into account. An ideal room would absorb all the light reflecting from a projection screen or emitted by a CRT, and the only light seen in the room would come from the display device. With such a room, the contrast ratio of the image would be the same as the device. Real rooms reflect some of the light back to the displayed image, lowering the contrast ratio seen in the image.
Moving from a system that displays a static motionless image to a system that displays a dynamic, changing picture slightly complicates the definition of the contrast ratio, because of the need to take into account the extra temporal dimension to the measuring process. Thus the ratio of the luminosity of the brightest and the darkest color the system is capable of producing simultaneously at any instant of time is called static contrast ratio, while the ratio of the luminosity of the brightest and the darkest color the system is capable of producing over time is called dynamic contrast ratio.
Contents[hide]
1 Methods of measurement
2 Dynamic contrast ratio
3 Contrast ratio in a real room
4 Notes
5 External links

Display contrast, of electronic visual displays
Contrast in visual perception is the difference in appearance of two or more parts of a field seen simultaneously or successively (hence: brightness contrast, lightness contrast, color contrast, simultaneous contrast, successive contrast, etc.).
Contrast in physics is a quantity intended to correlate with the perceived brightness contrast, usually defined by one of a number of formulae (see below) which involve e.g. the luminances of the stimuli considered, for example: ΔL/L near the luminance threshold (known as Weber contrast [1]), or LH/LL for much higher luminances [2].
A contrast can also be due to differences of chromaticity specified by colorimetric characteristics (e.g. the color difference ΔE CIE 1976 UCS).
Visual information is always contained in some kind of visual contrast, thus contrast is an essential performance feature of electronic visual displays.
The contrast of electronic visual displays depends on the electrical driving (analog or digital input signal), on the ambient illumination and on the direction of observation (i.e. viewing direction).
In the field of electronic visual displays the following forms of contrast can be distinguished:
luminance contrast,
color contrast,
full-screen contrast (time sequential),
full-swing contrast (maximum and minimum luminance),
static contrast (optical response settled),
transient contrast (optical response not settled),
dynamic contrast (technique for improving the sequential contrast of LCD-screens by backlight modulation)
dark-room contrast (no ambient illumination),
"ambient contrast" (short for: contrast in the presence of ambient illumination),
concurrent contrast (dark and light areas presented at the same time, simultaneously),
successive contrast (contrast between visual stimuli presented in sequence).


***************************************************

คำศํพท์ควรรู้(Unit 22) Low-level systems

executes = ปฎิบัติการ
examine = พิจารณา
whereas = ขณะที่
temporary = ชั่วคราว
once = บางที
fetches = รับคำสั่ง
arithmetic = ค่าเฉลี่ย
execution = การจัดการ, การปฏิบัติการ
combination = การผนึกกัน, การผสมกัน

examples screen messages(Samsung)

Samsung Electronics to Integrate Innovative Flash-Based Active Idle Screens to Provide Fun and Interactive Mobile Environment across Mobile Handsets in the Global Market Adobe Systems Incorporated (NASDAQ: ADBE) and Samsung Electronics today announced the release of Samsung’s ‘uGo’ active home screen based on Adobe Flash Lite™ 2 technology. Jointly developed by Adobe and Samsung, uGo will be integrated across Samsung’s next generation Ultra Edition mobile phones, beginning with the flagship SGH-D900. The Flash-enabled Ultra Edition 12.9 (SGH-D900) will reflect a subscriber’s physical location, time and other environments. With the ‘uGo’ active home screen, which is applied for idle screens and dialer application, the mobile phone automatically updates critical information – including country, time, and network signal – when a user is traveling. It also presents creative content when displaying event notification pop-ups, such as new messages, missed calls and schedule alarms. The idle screen features an iconic landmark that represents the country a subscriber is currently in.
For example, while in France the home screen showcases the Arch de Triumphe and while in Germany it shows the famous Neuschwanstein Castle. Similarly, the home screen features a blue sky to indicate daytime and stars to indicate nighttime. Text message notification also reflects the time of day that the message was sent – during daylight hours a text message notification appears as a jet stream, while in the evening the message alert appears as fireworks. Another dynamic element includes a cloudy sky to alert the user to a weak reception signal. “Utilizing Adobe’s Flash Lite 2, the Samsung Ultra Edition 12.9 (SGH-D900) user interface offers customers an engaging, elegant and more human experience, reflecting the mobile phone’s integral role in our connected world,” said Al Ramadan, senior vice president, Mobile and Device Solutions at Adobe. “Adobe’s ability to deliver creative and user friendly UIs is a critical differentiator for leading device makers and Samsung’s uGo showcases the new approach.” “Adobe’s mobile solutions enabled Samsung to design a user-friendly mobile phone interface that we believe will further strengthen the appeal of Samsung’s state-of-the-art mobile devices,” said Jihong Yoon, senior vice president, Mobile Design Team at Samsung Electronics. “Samsung’s new approach for user interface design will provide customers with emotional attachment through fun, interactive, and easy to use mobile phones.” ‘uGo’ is an extension of Adobe’s award winning Flash technology specifically developed for mobile phones and consumer electronics devices. Flash Lite dramatically accelerates the delivery of rich content and browsing, and customized user interfaces. Designers and developers world wide now have a new level of expressiveness, efficiency and interactivity for content creation. For more information on Flash for mobile and consumer products, visit www.adobe.com/mobile.
About Adobe Systems Incorporated Adobe revolutionizes how the world engages with ideas and information - anytime, anywhere and through any medium. For more information, visit www.adobe.com .
About Samsung Electronics Samsung Electronics Co., Ltd. is a global leader in semiconductor, telecommunication, digital media and digital convergence technologies with 2005 parent company sales of US$56.7 billion and net income of US$7.5 billion. Employing approximately 128,000 people in over 90 offices in 51 countries, the company consists of five main business units: Digital Appliance Business, Digital Media Business, LCD Business, Semiconductor Business and Telecommunication Network Business. Recognized as one of the fastest growing global brands, Samsung Electronics is a leading producer of digital TVs, memory chips, mobile phones, and TFT-LCDs. For more information, please visit www.samsung.com
About Thai Samsung Electronics Thai Samsung Electronics Co., Ltd. is the leader in consumer electronics, IT, and mobile phone market. In 2005, the company achieves sales of over Baht 15.8 billion with the majority of market share in Projection TV, Plasma TV, Flat screen TV, LCD monitor, computer monitor, refrigerator – both side-by-side and two-door, The company currently employ about 2,400 people for its Bangkok office, Bangkok and provincial service centers, and factory in Cholburi, which consist of three main business units: Digital Appliance Business, Digital Media Business, and Telecommunication Network Business. For more information, please visit www.samsung.com/th 2006 Adobe Systems Incorporated. All rights reserved. Adobe, the Adobe logo, Macromedia and Flash are either registered trademarks or trademarks of Adobe Systems Incorporated in the United States and/or other countries. All other trademarks are the property of their respective owners.

คำศัพท์ใหม่ (Unit 21) Languages

developed = พัฒนา
effciently = อย่างมีประสิทธิภาพ
features = ความสามารถ
produce = ผลิต
adapted = ปรับตัว
different = แตกต่าง
description = คำอธิบาย
originally = โดยดั้งเดิม
operating = การกระทำ
perfrom = ปฎิบัติ
respond = ตอบสนอง
provide = จัดเตรียม
environment = สิ่งแวดล้อม
chosen = เลือก
dropped= ว่าง
predefined = การกกำหนดก่อน
dragged= ลาก
general = แนบ
required =ต้องการ
similar = ชั่งคล้าย

คำศัพท์วันนี้(21 ม.ค 52)

reason [N] เหตุผล Related มูลเหตุ
produce [VT] สร้าง Related ผลิต, ทำให้มีขึ้น, ทำให้เกิดขึ้น
style [N] รูปแบบ Related ลีลา, ท่าทาง, วิธีการ
large [ADJ] ใหญ่ Related ใหญ่โต, กว้างขวาง, กว้าง
resolution [N] การแก้ปัญหา
application [N] การใช้ Related การประยุกต์ใช้
integrate [VI] ผสมผสาน Related รวมเข้าด้วยกัน

Certainty1 Profil im Dating Cafe

Certainty1

Sympathieklick senden Als Favorit speichern
Alter: 54 Jahre
Status: single
Plz: D-10
Figur: 62 cm, fraulich
Haare: grau-braune Haare, lang und lockig
Augen: braune Augen
Familie: Keine Kinder
Sterne: Zwilling
Aktualität: Pause

Nachricht schreiben Chiffrebrief senden

Nicht einfach...
Mein Foto, das ich gern auf Anfrage zeigen werde, ist natürlich glatt geschmeichelt! Bin eigentlich eher schüchtern und zurückhaltend, bis..., ja, bis ich Vertrauen zu jemandem gefasst habe. Dann kann ich ziemlich anstrengend werden, rede viel, sinniere viel, will alles ganz genau wissen, dann wieder ganz entspannen und die Seele baumeln lassen, erwarte viel...
Na, ganz so schlimm ist es wohl doch nicht. Richtig ist aber, dass ich jemanden an meiner Seite haben möchte, der eine hübsche Portion Gelassenheit mitbringt, ohne gleichgültig zu sein, der gut zuhören kann und eine intelligente, vielseitig interessierte Frau zu schätzen weiß; jemanden, der mit mir lacht und, wenn es ansteht, auch meine Tränen begreift.Reicht erst mal! Ich bin gespannt, ob sich jemand traut.

Spreadsheet - A Variety of Activities!

Uses of Spreadsheet. We have found quite a lot of interesting things to do in spreadsheet for our grades three through five students, and all of them are better managed in a lab setting. The simplier projects listed below certainly can be done in the classroom, but two of the projects, "Not So Simple Graphing" and "Probability Experiment" would be considered impossible for a classroom setting. "Timelines," "Simple Graphs," and "Interview Forms" can be done in a classroom, but would take months to complete. The "Civil War" graphing would be boring in a classroom becuase the students would loose the sense of discovery when watching someone else type in the data or do the charts. They would all be extremely difficult to teach in a classroom setting because kids would not be able to learn the new concepts hands on, but probably in a "view the projection" mode. "Timelines" and "Simple Graphs" have taken our students an average of 1 1/2 hours or 2 computer labs. The "Civil War" activity took one period for each class with all students doing the work simultaneously. Here are the topics we have done and some sample projects. The step by step procedures are for use with Microsoft Excel in Office 97.

Past Simple vs Past Continuous

Past Simple Tense

โครงสร้าง: Subject + Verb ( Past Form ) + ( Object )

หลักการใช้

1. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ้นสุดแล้ว มี Adverb บอกเวลาในอดีตกำกับด้วย เช่น
-She saw you yesterday. (หล่อนเห็นคุณเมื่อวานนี้)
-I went to Berline last year. (ผมไปเบอร์ลินเมื่อปีที่แล้ว)
2. เหตุการณ์หนึ่งกระทำเป็นประจำในอดีต แต่บัดนี้ไม่ได้ทำอีก เช่น
-When he was young, he was very clever. (เมื่อตอนเขายังเด็ก เขาเป็นคนที่ฉลาดมาก)
-I used to get up early in the morning. (ฉันเคยตื่นนอนตอนเช้าตรู่ ( ปัจจุบันไม่ได้ตื่นเช้าแล้ว )
3. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วระยะเวลาหนึ่งในอดีต และระยะเวลานั้นได้ล่วงเลยมาแล้ว เช่น
-They lived there during last spring.(พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่แล้ว)
-I heard the blacksmith working all day long.(ฉันได้ยินช่างตีเหล็กทำงานตลอดทั้งวัน)
4. ใช้แสดงถึงการสมมุติหรือข้อแม้ ในปัจจุบันหรือในอนาคต ตามหลังคำว่า If, Unless, Wish เช่น
-If I were you I would love her. (ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะรักเธอ)

Past Continuous Tense

โครงสร้าง: Subject + was, were + V-ing + Object

หลักการใช้

1. ใช้ในเหตุการณ์ที่แสดงอาการกำลังกระทำในอดีต เช่น
-They were speaking in the bookstore.(พวกเขากำลังพูดอยู่ในร้านขายหนังสือ)
-She was going to post office.(หล่อนกำลังจะไปที่ทำการไปรษณีย)์
2. ใช้แสดงถึงการกระทำที่ต่อเนื่องกันในอดีต เช่น
-What were you doing all last summer? (เธอทำอะไรตลอดฤดูร้อนที่แล้วเหรอ?)
-I was enjoying myself at the seaside.(ผมรื่นเริงกับการเที่ยวทะเล)
3. เหตุการณ์เกิด 2 เหตุการณ์ ขณะที่เหตุการณ์หนึ่งดำเนินก่อน และเหตุการณ์ที่สองมาแทรก
มีหลักการ คือ เหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ใช้ Past Con เหตุการณ์หลังใช้ Past Sim เช่น
-When I returned home, she was playing pingpong. (ตอนฉันกลับบ้าน เธอเล่นปิงปองอย)ู่
4. เหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นพร้อมกันในอดีต ต้องใช้ Past Con ทั้งคู่ มีคำว่า while หรือ as มาเชื่อม เช่น
-I was playing while you were studying. (ฉันกำลังเล่นในขณะที่เธอกำลังเรียน)
5. เหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ ณ เวลาจุดใดจุดหนึ่งในอดีตที่ระบุไว้ชัดเจน เช่น
-They were cleaning the room at eight o'clock yesterday.(พวกเขาทำความสะอาดห้อง 8 โมงเมื่อวาน)
6. ใช้ในการสมมุติ เป็นข้อแม้ การคาดคะเน แสดงถึงการกระทำที่ต่อเนื่อง เช่น
-What would you do if it was raining? (คุณจะทำอย่างไรถ้าฝนกำลังตก?)

*****************************************************************************

CV

How to write a good CV
A professional CV can occasionally itself secure you a job, especially if you are applying for temporary work. At the very least, a good CV will ensure you promote yourself to your best advantage and help secure interviews.
How to write a good CV? What CV layout should I use? There is no single way to construct a CV; it is your document and can be structured and presented as you wish within the basic framework set out below.

What information should a CV include?
Personal details. Most CVs start with these but take care to avoid superfluous details, such as religious affiliation, children's names and so on.

Education and qualifications. Take care to include the names of institutions and dates attended in reverse order; university before school results.

Work experience. The most widely accepted style of employment record is the chronological CV. Career history is presented in reverse date order starting with most recent. Achievements and responsibilities are listed against each role. More emphasis/information should be put on more recent jobs.

A functional CV can sometimes be more appropriate, for example if you have held a number of unrelated jobs. This presentation emphasises key skills which can be grouped together under suitable headings. However, career progression and the nature of jobs held can be unclear with this type of CV.

Skills. Include computer skills and (genuine) foreign language skills and any other recent training/development that is relevant to the role applied for.

Hobbies and Interests. Keep this section short.

Referees. These can simply be ‘Available on request'.

The order in which you present these, and the emphasis which you give to each one will depend on what you are applying for and what you have to offer.

General Tips

Your CV should be laser-printed in black ink using a plain typeface, on good quality A4 white/cream paper. Decorative borders are not necessary, nor are photographs of yourself.

A good CV should ideally cover no more than two pages and never more than three. Aim to ensure the content is clear, structured, concise and relevant. Using bullet points rather than full sentences can help minimise word usage

A good CV needs to be tailored to each job application.

The completed CV needs to be checked carefully for grammatical errors and spelling mistakes and to ensure that it makes sense. Ask an 'independent' party to review the whole document before it is sent out.

Remember when writing and structuring your CV that it is essentially marketing you and that a potential employer will use the details provided to form interview questions. It should be clear and easy to read. Gaps in career history should be explained and falsehoods and inaccuracies avoided at all costs.

There is no reason to include your reasons for leaving each job on your CV but be prepared to answer these questions in your interview.

Current salary details should not be included.

A good covering letter should always accompany your CV.

Example of Present Perfect Active/Passive

Present Perfect Active/Passive

Complete the pairs of sentences with the Present Perfect form of the verbs. Use the active in one sentence and the passive in the other.

1 A Picasso painting has been stolen from the Prado Museum. (steal)
2 Thieves have stolen 6,000,000 Euros from a bank. (steal)
3 A ninety-year-old woman has won a million pounds on the lottery. (win)
4 The FA Cup final has been won by Arsenal. (win)
5 Archaeologists have found the remains of an ancient city in the Sahara desert (find)
6 The missing tiger has been found and captured in a London park. (find)

คำศัพท์วันนี้

Antivirus (แอนทิ-ไฝรัซ) n. โปรแกรมป้องกันไวรัส

Background (แบ็ค-กเรานด) adj. พื้นหลัง

Insert (อิน-เซิทร์) vt. การแทรกข้อมูลเข้าไป

Jam (แจม) vt. ยึดติด , ติดขัด

Text (เท็กซ์) n. ตัวอักษร ตัวเลข และตัวอักขระอื่นๆ หรือสัญลักษณ์ที่มีอยู่บนแป้นพิมพ์