วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552

สิ่งที่ได้จาก blog

ข้าพเจ้านางสาวสุนิศา เมืองสุวรรณ์

จากที่ข้าพเจ้าได้เรียนเขียน blog เป็นเวลา 1 ภาคการเรียน ข้าพเจ้าได้ความรู้ขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเนื้อหาที่ใส่ใน blog และยังมีในส่วนของการทำ blog ด้วย ทั้งนี้ดิฉันขอขอบคุณ
อาจารย์ Wilaichitra เป็นอย่างสูง ที่ให้มี blog เป็นของตัวเอง

ขอให้เพื่อนมีความสุขและได้ความรู้เยอะๆๆจากการอ่าน blog ของดิฉัน

หน้าที่ของคำ

ชนิดของคำ

คำนาม (Noun) หมายถึง คำที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ มี 2 ประเภท คือ

A. Countable Noun คือ นามที่นับนับได้ ได้แก่ นามที่มีรูปร่าง นับเป็นชิ้นได้ จะใช้ a , an นำหน้าเมื่อไม่ชี้เฉพาะเจาะจง และสามารถทำเป็นพหูพจน์ได้ คือ อาจเติมคำ two, three, four, etc. ลงหน้าคำนามนั้นได้ เช่น two tables, three pencils
B. Uncountable Nouns คือ นามที่นับจำนวนไม่ได้ มีรูปเป็นเอกพจน์เสมอ ไม่มี article นำหน้า แต่จะใช้ the นำเมื่อชี้เฉพาะเจาะจง

กริยา (verb) คือคำหรือกลุ่มคำที่แสดงอาการหรือการกระทำของนาม สรรพนาม หรือประธานของประโยค แบ่งได้ 4 ชนิดคือ
1.Transitive verbs เป็นกริยาที่ต้องการกรรมมารองรับข้างท้าย หากขาดกรรมรองรับ ความสมบูรณ์ขาดหายไป
2.Intransitive verbs เป็นกริยาที่ให้ความสมบูรณ์อยู่แล้วไม่จำเป็นต้องมีกรรมรองรับข้างท้าย
3. Linking verbs เป็นกริยาใช้เชื่อมประธานของประโยคเข้ากับตัวขยายซึ่งอาจจะเป็นนามหรือคุณศัพท์ก็ได้ เพื่อแสดงสภาพอะไรสักอย่าง (a state of being) ได้แก่ be, seem, appear, look, become, get, turn, taste, feel, remain, sound, grow
4. Helping verbsเป็นกริยาช่วย ที่นำมาใช้ร่วมกับกริยาแท้ ได้แก่ be, have, has, had, can, could, will, would, may, might, must, do, does, did, ought to

Adjective คือ คำคุณศัพท์ ทำหน้าที่ขยายคำนาม มีดังนิ้
1. Descriptive Adjective บอกลักษณะคุณภาพของคน สัตว์และสิ่งของเช่น
young, rich, new, god, black, clever, happy
2.Possessive Adjective แสดงความเป็นเจ้าของเช่น my, your, his, her, their, our, its
3.Quantitativt Adjective บอกปริมาณมาก้อยของนามที่นับไม่ได้ เช่น some, half, little, enough
4.Numeral Adjective แสดงจำนวนมากน้อย ของนามที่นับได้หรือแสดงลำดับก่อน- หลังของคำนามเช่น one , two, first, many
5. Demonstrative Adjective คุณศัพท์ที่ชี้เฉพาะคำนาม เช่น this, that, these, those
6. Interrogative Adjective คือคำคุณศัพท์ที่แสดงคำถาม เช่น which, whose, what เป็นต้น จะวางอยู่หน้าประโยคคำถาม ตัวอย่างเช่น
- Which way shall we go ?
- Whose dictionary is this ?
7. Proper Adjective คือคำคุณศัพท์ที่มาจากคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ เช่น ชื่อประเทศ ทำหน้าที่ ขยายคำนามซึ่งมีความหมายว่า “เป็นของ หรือจากประเทศนั้นๆ ตัวอย่างเช่น Which way shall we go?
8. Distributive Adjective แสดงการแบ่งแยกหรือจำแนก เช่น each, every, either, neither


Pronoun ( คำสรรพนาม ) คือคำที่ใช้แทนคำนามหรือคำเสมอนาม ( nouns- equivalent ) เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงซ้ำซาก หรือแทนสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วระหว่างผู้พูด ผู้ฟัง หรือแทนสิ่งของที่ยังไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร คำสรรพนาม (pronouns ) แยกออกเป็น 7 ชนิด คือ
Personal Pronoun ( บุรุษสรรพนาม ) เช่น I, you, we, he , she ,it, they
Possessive Pronoun ( สรรพนามเจ้าของ ) เช่น mine, yours, his, hers, its,theirs, ours
Reflexive Pronouns ( สรรพนามตนเอง ) เป็นคำที่มี - self ลงท้าย เช่น myself, yourself,ourselves
Definite Pronoun ( หรือ Demonstrative Pronouns สรรพนามเจาะจง ) เช่น this, that, these, those, one, such, the same
Indefinite Pronoun ( สรรพนามไม่เจาะจง ) เช่น all, some, any, somebody, something, someone
Interrogative Pronoun ( สรรพนามคำถาม ) เช่น Who, Which, What
Relative pronoun ( สรรพนามเชื่อมความ ) เช่น who, which, that


Adverb คือ คำที่ใช้ทำหน้าที่ขยายกริยา ขยายคุณศัพท์ หรือขยาย Adverb ด้วยกันเองก็ได้ จะขอ
ยกตัวอย่างพอสังเขปให้ดูต่อไปนี้
ขยายกิรยาเรียงไว้หลังกริยา
The old woman walks slowly. หญิงชราคนนั้นเดินอย่างช้าๆ
(slowly เป็น Adverb เรียงไว้หลังหริยา walks)
ขยายคุณศัพท์เรียงไว้หน้าคุณศัพท์
Saensak is very strong. แสนศักดิ์เป็นคนแข็งแรงมาก
(very เป็น Adverb เรียงไว้หน้าคุณศัพท์ strong)
ขยายกิรยาวิเศษณ์เรียงไว้หน้ากริยาวิเศษณ์
The train runs very fast. รถไฟวิ่งเร็วมาก
(very เป็น Adverb จึงเรียงไว้หน้า Adverb "fast")

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552

กริยา 3 ช่อง

กริยาอปรกติ หรือกริยาอปกติ (Irregular Verbs)

คือ กริยาที่ผู้เรียนต้องศึกษาจดจำเป็นพิเศษ เพราะมีการเปลี่ยนรูปร่างต่างกันไป โดยไม่ได้เติม –ed ต่อท้ายเหมือน กริยาปรกติ (Regular Verbs) ส่วนมากเรียก กริยาอปกติ ว่า กริยา 3 ช่อง
Infinitive (Present), Past Simple ,Past Participle, ความหมาย
be(is,am,are) was,were been เป็น,อยู่,คือ
bear bore born ถือ,เกิด
become became become กลายเป็น
begin began begun เริ่มต้น
bend bent bent โค้ง งอ
bet bet bet พนัน
bite bit bitten (or bit) กัด ขบ ฉีก
bleed bled bled เลือดออก
blow blew blown พัด เป่า ตี
bring brought brought นำมา เอามา
build built built สร้าง ก่อสร้าง
burst burst burst ระเบิด
buy bought bought ซื้อ
cast cast cast ขว้าง
catch caught caught จับ ได้รับ
choose chose chosen เลือก
cling clung clung เกาะ เอาเป็นที่พึ่ง
come came come มา
cost cost cost ราคา
dig dug dug ขุด
dive dived (or dove) dived ดำนํ้า
do did done ทำ
draw drew drawn ลาก วาด เขียน
drink drank drunk ดื่ม
drive drove driven ขับ(รถ)
eat ate eaten กิน
fall fell fallen ตก หล่น
fight fought fought ต่อสู้
fling flung flung โยน พุ่ง เหวี่ยง
fly flew flown บิน
forbid forbade forbidden ห้าม ไม่อนุญาต
forget forgot forgotten ลืม
freeze froze frozen เย็นจนแข็ง หนาว
get got got (or gotten) เอา ได้รับ
give gave given ให้
go went gone ไป
grind ground ground บด ลับ
grow grew grown เติบโตขึ้น
hang (people) hanged hanged แขวนคอ
hang (pictures) hung hung แขวน ห้อย
have had had มี
hide hid hidden ซ่อน
hurt hurt hurt ทำร้าย ทำอันตราย
know knew known รู้
lay laid laid วาง ออกไข่
lead led led นำ พา
leave left left ละทิ้ง จากไป
lend lent lent ให้ยืม
lie lay lain นอน
light lit lit จุดไฟ
make made made ทำ
mistake mistook mistaken ทำผิด
pay paid paid จ่าย ชำระ ใช้ให้
quit quitted (or quit) quit หยุด ยุติ เลิก
ride rode ridden ขี่ ขับ
ring rang rung สั่นกระดิ่ง ดัง
rise rose risen ขึ้น ลุกขึ้น
run ran run วิ่ง
saw sawed sawn เลื่อย
say said said พูด
see saw seen เห็น
seek sought sought ค้นหา
sell sold sold ขาย
set set set ตั้ง วาง จัด
shake shook shaken เขย่า สั่น
shine shone shone ส่องแสง
shrink shrank shrunk หดลง สั้นลง
sing sang sung ร้องเพลง
sink sank sunk จม ถอยลง
slide slid slid สื่นไถล เลื่อนไป
speak spoke spoken พูด
spin spun spun ม้วน กรอ ปั่นฝ้าย
split split split แตก แยก
spring sprang sprung โดดอย่างเร็ว เด้ง
sting stung stung ต่อย แทง
stink stank stunk ส่งกลิ่นเหม็น
strike struck struck ตี ต่อย กระทบ
string strung strung ผูกเชือก ขึงสาย
strive strove striven พยายาม ขันสู้
swear swore sworn สาบาน ปฏิญาณ
swell swelled swollen โตขึ้น หนาขึ้น
swim swam swum ว่ายนํ้า
swing swung swung แกว่ง เหวี่ยง
take took taken เอา จับหยิบ
teach taught taught สอน
tear tore torn ฉีก ขาด
think thought thought คิด
throw threw thrown เหวี่ยง ขว้าง
wake woke waken ตื่น ปลุก
wear wore worn สวม ใส่
weave wove woven ทอผ้า สาน
weep wept wept ร้องไห้
wring wrung wrung บีบ คั้น
write wrote written เขียน

คำศัพท์(Unit 24)

installed ติดตั้ง
arcades บริเวณ
trends แนวโน้ม
alter เปลี่ยน
able สามารถ
brain สมอง
imitate เลียนแบบ
three dimensional screen แฟ็ก 3 มิติ
computer touch screens วงจรสัมผัส
wristwatch นาฬิกาข้อมือ
own ของตัวเอง
robot หุ่นยนต์
artificial ประดิษฐ์ขึ้นมา
intelligence อัจฉริยะ
lung ปอดเทียม

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

คำศัพท์(Unit 23)

chip วงจรรวม
lite ชีวิต
unconscious ไม่มีสติ
incoherent ไม่ต่อเนื่อง
ambulances รถพยาบาล
medical เกี่ยวกับการรักษา
distraught จิตว้าวุ่น
themselves พวกเขา
suddenly เกิดอย่างฉับพลัน
robotice มนุษย์หุ่นยนต์
mechanical เกี่ยวกับเครื่องจักรกล
fabricate คิด,สร้าง
obvious ชัดเจน
difficult ยาก
virtual reality สภาวะจริง
practical เกี่ยวกับการปฏิบัติ
remote ไกล
consumer ผู้บริโภค
aircraft เครื่องบิน
pilot นักบิน
patients หัวหน้าครอบครัว,บรรพบุรุษ
establish ก่อตั้ง

การใช้ would(ประโยคเงื่อนไข)

ลองศึกษาโครงสร้างของประโยคคำถามเหล่านี้นะคะ

1. What would you do if you lost your money?
2. What would you do if you won the first prize lottery?
3. What would you do if Ricky Martin said he loved you?
4. What would you do if it snowed?
5. What would you do if it rained very hard?
6. What would you do if someone gave you a BMW car?
7. What would you do if you slipped and fell down in front of a handsome man?
8. What would you do if you couldn't find your wallet after your meal in the restaurant?
9. What would you do if you saw a man take a book without paying in the shop?
10. What would you do if you found a fly in your noodle bowl?
11. What would you do if you had to get up early?
12. What would you do if next week was a holiday?
13. What would you do if you had a jeep?

( Structure : subj. + would + v1 , if + subj. + v2 ) สมมุติเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
ลองศึกษาประโยคคำตอบข้างล่างนี้ แล้วจับคู่กับประโยคคำถาม ดูนะคะ

1. I'd ask my mother to call me.
2. I'd go to Dream World in Bangkok.
3. I'd take you to Chamoa Mountain.
4. I'd ask my mother for more.
5. I'd travel around the world.
6. I'd be happy to be the luckiest girl in the world.
7. I'd run out to touch it.
8. I'd put my umbrella.
9. I'd refuse to take it because I had no money to buy petrol.
10. I'd smile sweetly at him.
11. I'd phone my mother.
12. I'd tell the salesgirl.
13. I'd tell the waiter to give me a new one.

เมื่อจับคู่ประโยคคำถาม - คำตอบได้แล้ว ก็ลองนำไปฝึกใช้บ้างนะคะ แล้วก็ลองนำไปสร้างประโยคของตัวเองด้วย จะช่วยให้จดจำประโยคได้ดีขึ้น

การใช้ will

Verb Tenses (Future Tenses )

ในบทนี้จะได้กล่าวถึงการใช้ Future tenses ทั้ง 4 รูปคือ Simple Future ,Future progressive,Future perfect,และ Future perfect progressive.

1. Simple Future
โครงสร้าง

Subject + auxiliary verb ( will ) + main verb ( base form)
ประธาน + กริยาช่วย ( will ) + กริยาหลักช่อง 1


การใช้

ใช้กับการกระทำหรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะมีคำบอกเวลาอนาคตกำกับอยู่ด้วย
They will finish the work tomorrow.
He will arrive next Saturday.
Where will you be this time next year.
I'll be in London tomorrow.
Will you be at work tomorrow?

ใช้ในการพูดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ไม่มีแผนที่จะพูดมาก่อน
Hold on. I'll get a pen.
We will see what we can do to help you.
Maybe we'll stay in and watch television tonight.

มักจะใช้ simple future tense กับคำกริยา to think
I think I'll go to the gym tomorrow.
I think I will have a holiday next year.
I don't think I'll buy that car.

ใช้ในการพูดทำนองทำนายการเกิดเหตุการณ์อนาคต
It will rain tomorrow.
People won't go to Jupiter before the 22nd century.
Who do you think will get the job?
The movie "Troy " will win several Academy Awards.
It will rain tomorrow.

ใช้กับสถานการณ์แสดงการสมัครใจ เสนอตัวทำ
Will someone open the window for me?"
"I'll do it!"
I'm really hungry. I'll make some sandwiches.
I'm so tired. I'm about to fall asleep. I'll get you some coffee.

การใช้ Will และ Shall
ถ้าต้องการแสดงอนาคต ใช้ will กับประธานทุกคำ
ถ้าต้องการแสดงความตั้งใจ ใช้ shall กับประธานทุกคำ เช่น
I will come to the party.
I shall be disappointed

ประโยคที่มีความหมายเป็นอนาคต อาจไม่จำเป็นต้องใช้ will หรือ shall แต่ใช้รูปอื่นแทนได้ เช่นWe'll fly tomorrow.
ใช้รูป : Present Simple เช่น We fly tomorrow.
ใช้รูป : Present Progressive เช่น We are flying tomorrow.ใ
ช้รูป : going to เช่น We are going to fly tomorrow.
ใช้รูป : is to , are to เช่น The Prime Minister is to visit Japan.

2. Future Progressive ( continuous )
โครงสร้าง

Subject + auxiliary verb ( will ) + auxiliary verb ( be ) + main verb ( present participle )
ประธาน + กริยาช่วย ( will ) + กริยาช่วย ( be )+ กริยาหลัก+ ing

การใช้

ใช้เมื่อต้องการจะบอกว่า ณ เวลาหนึ่งในอนาคต จะมีเหตุการณ์อย่างหนึ่งกำลังดำเนินอยู่ ในประโยคจะมีคำบอกเวลา ณ จุดหนึ่งในอนาคตกำกับอยู่ด้วยเสมอ เป็นการใช้เพื่อเน้นการกระทำ ทีกำลังดำเนินในอนาคต
I will be playing tennis at 10am tomorrow.
He will be studying at the US next year.
At midnight tonight, we will still be driving through the desert

ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ในอนาคตซึ่งเกิดไม่พร้อมกัน
We 'll be having dinner when the film starts.
Take your umbrella. It will be raining when you return.
When your plane arrives tonight, I will be waiting for you.

3.Future Perfect
โครงสร้าง

Subject + auxiliary verb ( will ) + auxiliary verb ( have ) + main verb ( past participle )
ประธาน + กริยาช่วย ( will ) + กริยาช่วย ( have )+ กริยาหลักช่อง 3

การใช้

ใช้เมื่อต้องการบอกว่า เมื่อถึงเวลาหนึ่งในอนาคต เหตุการณ์อย่างหนึ่งจะจบสิ้นลง
By next November, I will have received my promotion
The train will have left when you arrive.
You can call me at work at 08:15 am. I will have arrived at the office by 08:00.
All these roses will have died before Christmas.
They will have finished the work by next week.

4. Future Perfect Progressive
โครงสร้าง

Subject + auxiliary verb ( will ) + auxiliary verb ( have ) + auxiliary verb ( been ) + main verb ( present participle)
ประธาน + กริยาช่วย ( will ) + กริยาช่วย ( have )+ กริยาช่วย ( been )+ กริยาหลัก+ing

การใช้

ใช้เมื่อต้องการจะบอกว่า เมื่อถึงเวลาหนึ่งในอนาคต เหตุการณ์อย่างหนึ่งซึ่งดำเนินมาก่อนหน้านั้นก็ยังคงดำเนินอยู่ และจะดำเนินต่อไปอีก
I will have been working here for ten years next week.
He will be tired when he arrives. He will have been traveling for 24 hours.
They will have been talking for over an hour by the time I arrive.
Do you realize that by the time we arrive in Had Yai, we will have been driving for twenty straight hours.

เปรียบเทียบการใช้ Future Perfect Progressive กับ Future Perfect
Future Perfect Progressive :
In December I will have been writing this book for seven monthsเมื่อถึงเดือนธันวาคม ฉันก็จะเขียนหนังสือนี้มาได้เจ็ดเดือน ( และจะเขียนต่อไป )
Future Perfect :
I will finish this book in January next year, when I will have written this book for eight months. ประโยคนี้แสดงว่าเมื่อถึงเดือนมกราคม การเขียนจะเสร็จสิ้น ไม่มีการเขียนอีกต่อไป